โดนอีก! หนุ่มเทน้ำราดหัว ‘แพรพลอย’ โดนโรงแรมดังเลิกจ้าง

โดนอีก! หนุ่มเทน้ำราดหัว ‘แพรพลอย’ โดนโรงแรมดังเลิกจ้าง

โรงแรมดังย่านรัชดา ประกาศ เลิกจ้าง หนุ่มเทน้ำราดหัว ‘แพรพลอย’ นักมวยสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เผยไม่สนับสนุนพฤติกรรมไม่เหมาะสมทั้งในและนอกเวลางาน จากกรณีที่ น.ส.แพรพลอย แซ่เอี้ย เทรนเนอร์และนักมวยอาชีพ ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอถูกชายคนหนึ่งเอาน้ำมาราดหัวหลังจากที่เธอปฏิเสธจะชนแก้วกับชายคนดังกล่าว จนทำให้ชายคนดังกล่าว น.ส.แพรพลอย อัดซะน่วมเนื่องจากตัวของ น.ส.แพรพลอย ตามที่รายงานไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก 

แถลงเลิกจ้างชายคนดังกล่าวแล้ว โดยระบุว่า “โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ขอเรียนชี้แจงกรณีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงาน โดยคณะผู้บริหารได้ทราบถึงเหตุการณ์ และพิจารณายุติการว่าจ้าง ตามนโยบายและมาตรฐานของโรงแรมฯ ในการลงโทษขั้นสูงสุด

ทั้งนี้ ทางโรงแรมฯ ไม่สนับสนุนการกระทำความผิด รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งในและนอกเวลาปฏิบัติงานของพนักงานทุกคน ทางโรงแรมฯ ขอให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจ ในมาตรฐานการให้บริการ และนโยบายความปลอดภัยสูงสุดของโรงแรมฯ”

เต่า หน้ายักษ์ อดีตไรเดอร์วัย 21 ปี ได้ออกมา ขอโทษ รับสำนึกผิด วอนสังคมให้โอกาส หลังทำร้ายร่างกายคนบนฟุตบาท เผยเงินกินข้าวยังไม่พอ อยู่ได้ไม่เกิน 5 วัน นาย บุญฤทธิ์ ทองเอี่ยม หรือ เต่า หน้ายักษ์ อดีตไรเดอร์วัย 21 ปีที่ปรากฎในคลิปที่เขาขับรถจักรยานยนต์เชี่ยวชายคนหนึ่ง จนนำไปสู่เหตุทะเลาะวิวาทและทะเลาะร่างกายเมื่อเวลาประมาณเที่ยงของวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมานี้

ล่าสุดเต่า หน้ายักษ์ ได้ให้สัมภาษณืว่า  รู้สึกผิด และยอมรับผิดทุกอย่าง ตอนนี้ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ เนื่องจากตนไม่มีงานทำแล้ว รถถูกยึด ถูกคู่กรณีดำเนินคดี ถูกทางแอพพลิเคชั่นโรบินฮูดฟ้องร้อง ตนมืดไปหมดทุกทาง ไม่มีทางออก ตอนนี้เหลือเงินติดตัวอยู่เพียง 1,000บาท

ทั้งนี้ ต้องวิ่งงานทุกวันตั้งแต่ 06.00-23.00น. ไม่มีวันพักเพื่อหาเงินมาได้ในแต่ละวัน ก็ต้องนำมาใช้จ่าย ค่ารถ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกทั้งต้องส่งเงินให้ลูกแฝด 2 คน อายุ 5 ขวบ และพักอาศัยอยู่กับภรรยาเก่าเป็นเงิน 3,000-4,000 บาท ทุกเดือน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เงินกินข้าวยังไม่พอ อยู่ได้ไม่เกิน 5 วัน ยังไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไร ไปสมัครงานก็ติดตรงที่ตนมีรอยสักทั่วตัว อยากขอโอกาสสังคมให้อภัย อยากกลับตัวกลับใจเป็นคนดี อยากขอโอกาสมีงานทำ ประกอบอาชีพได้ วันนี้ตนรู้สึกผิด และสำนึกแล้วจริงๆ

กลายเป็นสยองขึ้นเมื่อชายคนหนึ่งมาทำที ขอเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ผลปรากฏเป็นโจร ก่อนคว้าเสื้อและหลบหนีไป สุดท้ายไม่รอดโดนจับกุม ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งได้โพสต์คลิป ซึ่งเป็นวินาที ชายคนหนึ่งทำทีเข้ามาขอเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้าน ก่อนที่เธอจะพบว่าแท้จริงแล้ว ชายคนดังกล่าวนั้นเป็นโจร หยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ ก่อนหลบหนีออกไป

โดยเบื้องต้นนั้น ชายคนดังกล่าวเป็นคนร้ายลักทรัพย์ที่ร้านซ่อมรถจยย.แห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.แประ อ.ท่าแพ จ.สตูล โดยทำทีจูงรถจยย.เข้าไปแล้วบอกว่าปะยางให้หน่อย จากนั้นก็ฉวยโอกาสลักทรัพย์ก่อนขี่รถจยย.หลบหนี

ระหว่างทางมีพลเมืองเข้าไปพยายามหยุดคนร้าย โดยขับรถกระบะเบียดจยย.จนล้ม ทำให้คนร้ายวิ่งหลบหนีเข้าไปในสวนยางพารา กระทั่งไปโผลในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ภายหลังก็ถูกจับกุมตัวได้

โดยผู้โพสต์คลิประบุว่า “อยู่ไหนก้อไม่ปลอดภัยจริงๆๆขนาดยุบ้านตัวเองแท้ๆโจรยังวิ่งเข้ามาจะขอเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ#ขออภัยในคําพูดที่ไม่เหมาะสม ตอนนั้นกลัวจริงๆๆ”

ครบรอบสองปี กราดยิงโคราช กับการตั้งคำถามปฏิรูปกองทัพ

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่เกิดเหตุ กราดยิงโคราช จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 30 ศพ โดยสองปีที่ผ่านมานั้น หลายฝ่ายยังคงตั้งคำถามกับการปฏิรูปกองทัพ หากย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี 2563 ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญสำหรับชาวไทย ซึ่งคือเหตุกราดยิงโคราช หรือ เหตุกราดยิงที่เทอร์มินอล 21 โคราช จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 30 ศพ และถือเป็นเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย

โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง พ.อ.อนันตโรจน์ กระแสร์ นายทหารสังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ พร้อมด้วยหญิงชรา อายุ 63 ปี เสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 187 หมู่ 3 บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก อ.เมือง จ.นครราชสีมา

จากนั้นทหารคลั่ง ได้ไปแย่งอาวุธปืนจากทหารเวรประจำการ ที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ก่อนขับรถฮัมวี่ออกมาและหลบหนีไปยังห้างเทอร์มินัล 21 โคราช และมีการยิงแก๊สให้ระเบิด พร้อมถ่ายรูปเซลฟี่ลงเฟซบุ๊กตัวเอง และได้ยิงประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

ซึ่งการปิดรอบของทหารคลั่งและกองทัพดำเนินไปนานหลายชั่วโมง ก่อนที่ทหารคลั่งคนดังกล่าวจะถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิต บริเวณชั้นล่างของห้างฯ ก่อนเจ้าหน้าที่จะรีบนำกำลังเข้าเคลียร์พื้นที่ และช่วยตัวประกันที่เหลือออกมา ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งสิ้น 30 ราย (รวมคนร้าย) บาดเจ็บ 58 ราย

อย่างไรก็ตามเหตุสลดครั้งนี้ได้นำไปสู่การตั้งคำถามในหลายอย่างในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน จนทำให้ทาง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ลงดาบ สื่อดังสามช่องในการนำเสนอข่าวดังกล่าว

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป